เทศน์เช้า

เล่นในบท

๖ พ.ค. ๒๕๔๓

 

เล่นในบท
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

คนเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เราเล่นบท บทไง เล่นบทเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์นี่เล่นตามบทเลย เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเล่นตามบทของมนุษย์ไป เกิดมาศึกษาเล่าเรียน แล้วก็ดำรงชีวิตอยู่ แล้วบทสุดท้ายไง บทที่ต้องพลัดพรากจากไป เล่นบทของมนุษย์ เล่นตามบทไปเลย แล้วเรายึดมั่นถือมั่นในบทอันนี้มาก นี่เล่นตามบทไป

แต่มันต้องเล่นนอกบท เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนให้เล่นนอกบท คนที่เล่นนอกบท ดูอย่างหลวงตานี่เล่นนอกบท สุดท้ายแล้วนี่เทียบกับเล่นในบทสิ เล่นในบทคือว่าเราเป็นมนุษย์นี่ เราต้องเป็นจริงๆ ไง นี่คือในบท นี่คือสมมุติไง สมมุตินะ

เหมือนกับบทละครบทหนึ่ง เหมือนกันเลย เพียงแต่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา แต่บทสุดท้ายแล้วมันก็ต้องพลัดพรากจากไป บทสุดท้ายคือบทเศร้าโศกทุกคน ต้องพลัดพรากจากออกไปเลย แต่ถ้าเล่นนอกบท เห็นไหม พอมาเข้าใจตามบทนี่ เหมือนกับเขาปล่อยวาง เหมือนกับพวกเล่นละคร เวลาเขาเข้าฉากนี่เขาไม่ตกใจเลย เวลาเขาไปอยู่ข้างนอกน่ะเป็นงานภาระของเขา เขาต้องเล่นตามบทของเขา เวลาเขาเข้าฉากเข้าไปแล้ว เขาก็กลับไปเป็นคนคนหนึ่ง

จิตนี้เหมือนกัน เล่นตามบทเราก็เล่นของเราไปตามบทนั้น แต่เราไม่ได้เล่นตามบท เราเป็นจริงๆ เลย เราเป็นตามบทนั้น เห็นไหม ทุกข์ยากไหม เวลาหาอยู่หากินนี่ก็ทุกข์ยากแล้ว ยังเก็บสงวนรักษาไว้ของเราก็ยังทุกข์ยากอยู่ ยังจะต้องพลัดพราก ตอนพลัดพรากนั้นน่ะ เวลาพลัดพรากไป เห็นไหม มันจริง จริงในหนึ่งร้อยปีนี่ไง คนเรานี่มีชีวิตหนึ่งร้อยปี แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพรากไป ตอนที่มันตายนี่บทสุดท้ายก็คือความเสียใจ เล่นตามบท เราเล่นตามบทเลย นี่พระพุทธเจ้า ธรรมะ เห็นไหม โลกกับธรรม เล่นตามบทคือว่า เล่นตามมนุษย์นี่เป็นเรื่องของโลกเขา

คนจะเป็นจักรพรรดินะ ใหญ่โตขนาดไหนก็แล้วแต่ จักรพรรดิที่ว่าตายไปแล้วๆ น่ะ เขาสร้างสมชื่อเสียงไว้ สร้างสมบัติของจักรพรรดิไว้นะ ครองโลกๆ เลย เกือบจะได้ครองโลกนะ มหาราชต่างๆ เกือบจะได้ครองโลก แต่ไม่ทั้งหมด นี่รบไปทั้งทั่วโลก แล้วเวลาเขาตายไปล่ะ? มันก็ได้แค่ประวัติศาสตร์ทิ้งไว้ใช่ไหม จิตดวงนั้นก็ต้องตาย ต้องเข้าฉากไป เห็นไหม ความเข้าฉากไป

แต่ถ้าเราเล่นนอกบท นี่อาจารย์บอกว่า ลืมตา ๒ ข้างไง ตาข้างหนึ่งลืมไว้ในทางโลกนี้ เราเกิดมาในโลกนี้เราก็ไปตามเขา นี่ตาข้างหนึ่ง อีกตาข้างหนึ่ง นี่เล่นนอกบทอีกข้างหนึ่ง เล่นนอกบทคือว่า สิ่งนี้เป็นสมมุติทั้งหมด อย่างทำไมเราเล่นนอกบทได้นี่ ทำไมเรามาสละทานได้ การสละออกนี่ การสละออก การให้ไป การให้ออกไป นี่ความสูงต่ำของสังคม นี่การทำมา การทำมาใครพัฒนามา ความคิดได้สูงขึ้นมานี่ ความฉลาดไง

การเล่นนอกบทนี้มันต้องฉลาดเป็น ๒ เท่า การเล่นในบท การเป็นมนุษย์นี่ ดูสิ การพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนเสมอกัน คือให้คนมีปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัยพร้อมกัน ยังทำแสนยากเลย มันยังไม่ทำกัน มันยังปล่อย เห็นไหม ช่วยแต่อาศัยเขา จะเอาแต่ความมักง่าย ขโมยขโจรกันขึ้นมา ให้ได้มาด้วยการไม่แสวงหา

ถ้าเล่นในบท การแสวงหา เป็นมนุษย์แสวงหามาก็แสนทุกข์ยากอยู่แล้ว แต่ถ้าอย่างของเรานี่ อยู่ในบทของมนุษย์ด้วยที่ว่าทุกข์ยากอยู่แล้ว ยังหาทางออกอีก เห็นไหม ถ้าออกได้ตั้งแต่ตอนนี้ ตายตั้งแต่ยังไม่ตายเว้ย ตายตั้งแต่ยังไม่ตาย เพราะมันตายคือว่ามันทิ้งบทความเป็นมนุษย์นั้น ในหัวใจนี่มันปล่อยวางได้ มันตายมันตายตรงนั้น ตายกิเลสมันตาย จิตนี้ไม่เคยตาย จิตนี้ถ้าเคยตาย มันมาเกิดไม่ได้ การทำลายขนาดไหน มันยิ่งทำลายมันยิ่งเด่นชัด ยิ่งทำลาย เห็นไหม ยิ่งทำลายจิตนี้เด่นชัด มันไม่มีการตาย ถึงถ้าเล่นนอกบทมันก็ไม่มีความเศร้าเสียใจ มันยิ่งดีใจไง เปิดโลกธาตุนี่ ความว่าเปิดโลกธาตุก็เพื่อจะเปิดหัวใจเรานี่

พระพุทธเจ้าเวลาเทศน์สอนในพุทธกาล เหมือนกับของที่หงายไง ของที่คว่ำอยู่ พระพุทธเจ้าหงายขึ้นๆ ของที่ปิดอยู่เปิดออก เห็นไหม เปิดออกนี่เปิดโลกธาตุ ความว่าเปิดโลกธาตุ สมัยพุทธกาลนั้นพระพุทธเจ้าลงมาจากดาวดึงส์ ไปเทศน์โปรดแม่ลงมา ใครที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจะเห็นสวรรค์ เห็นมนุษย์ เห็นนรก มองอยู่นี่เห็นหมด เห็นด้วยตาเนื้อนี่ เพราะเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งจะมีครั้งหนึ่ง เป็นบารมีพระพุทธเจ้าสะสมมาอย่างนั้น แต่ในเมื่อนั้นคือเปิดโลกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่การเปิดโลกธาตุของครูบาอาจารย์นี้ คือว่าเปิดโลกธาตุ พยายามพูดให้เข้าใจไง เห็นไหม เปิด พูดให้เข้าใจ พูดให้เข้าใจแล้วชี้ให้เห็นว่า นรก สวรรค์ มนุษย์ นี้มีอยู่จริง จิตนี้ต้องเวียนไหว้ตายเกิดตามความเป็นจริง จิตนี้ต้องเวียนไหว้ตายเกิด ถึงว่าจริงของมนุษย์นี้ สมมุตินี้ร้อยปี เราก็เข้าใจกันว่าร้อยปี แต่เราเข้าใจเฉยๆ เข้าใจด้วยสัญญา แต่พอวิปัสสนาเข้าไปๆ มันต้องให้ตัวจริง

เห็นไหม ตัวจริง เวลาว่าตัวจริงคือตัวใจนี่ ตัวที่มันเริ่มความคิด พอมันรู้จริงนี่ ทำไมขนาดเข้าไปรู้นี่มันสลด มันสังเวช มันสงสารตัวเองไง จนน้ำหูน้ำตาไหลนะ จะร้องไห้เลย ทำไมเมื่อก่อนความคิดอย่างนี้มันไม่มี ความคิดที่มีคือความคิดสักแต่ว่าไง คำว่าสักแต่ว่ามันก็ไม่ได้ผลจริง ความรู้จริงเห็นจริงไม่ใช่สักแต่ว่า มันเห็นจริง เห็นจริงแล้วปล่อยไว้ตามความเป็นจริง เป็นสักแต่ว่า แต่ความรู้จริงอันนั้นมันไม่สักแต่ว่าหรอก มันรู้จนปล่อยได้ ถ้ารู้สักแต่ว่าก็เหมือนรู้แบบสัญญานั้นน่ะ รู้สักแต่ว่าไง มันรู้เข้าไม่ถึงเนื้อของใจ เหมือนเสื้อผ้าเราใส่อยู่นี่ ไม่ใช่เรา มันเป็นเสื้อผ้าอยู่ ความคิดของใจมันก็เหมือนเสื้อผ้า อาภรณ์ของใจไง อาภรณ์ของใจเปลี่ยนไปเรื่อย

มีศีล เห็นไหม มีศีลมีสัตย์ มีความยึดมั่น มีปัญญาขึ้นมา นั้นล่ะอาภรณ์เปลี่ยนเข้าไปๆ จากที่ว่าเปลี่ยนเข้าไป หมุนเข้าไปนี่ ปัญญามันหมุนขึ้นมาๆ พอปัญญาหมุนขึ้นมาอาภรณ์เปลี่ยนไปเรื่อย ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปจนเป็นเนื้อเดียวกับใจ มันเข้าไปละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกับใจมันถึงชำระใจได้ อนุสัย...อนุสัยเครื่องดองสันดานของกิเลส...ภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ เห็นไหม มันเป็นเนื้อเดียวกับใจ มันถึงว่าเสื้อผ้านี้เราเปลี่ยนได้ เราเปลี่ยนเสื้อผ้า เราก็ว่าเราเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนอาภรณ์ของใจก็เปลี่ยนอาภรณ์ของใจ แต่อาภรณ์ของใจคือปัญญานั้นมันซึมซาบเข้าไปในเนื้อของใจได้ไง อนุสัยนี้มันซึมอยู่ในใจ ก็ต้องปัญญานี่ ภาวนามยปัญญาเข้าไปชำระล้างถึงในนั้นได้ไง

เห็นไหม ถึงว่าไม่ใช่สักแต่ว่า มันรู้จริงเห็นจริงแล้วมันปล่อย เพียงแต่เวลาพูด พูดเหมือนคำว่า รู้แล้วปล่อย ว่าสักแต่รู้ๆ คำว่าปล่อย สักแต่ว่ารู้นี้ มันรู้จริงแล้วมันปล่อย เหมือนกับคนเข้าไปนี่ ไม่มีแล้วบอกว่าไม่เอาไง กับคนมีแล้วสละ ต่างกันไหม? คนที่ไม่เคยมีตังค์แล้วบอก “ฉันไม่เอา ฉันไม่เอา” แต่คนที่มีตำแหน่งหน้าที่มีการงานนั้น สละการงานนั้นออก เขามีจริงแล้วก็สละออก เขาสละออกคือว่า ของเขาสละออกนั้นของเขาสักแต่ว่า คนที่เขามีแล้วสละออก จิตเขาถึงสูงกว่าสักแต่ว่า มันถึงรู้จริงไง รู้จริงถึงไม่สักแต่ว่า

ถ้าเล่นนอกบทไปๆ เราเล่นในบทนะ เราเป็นมนุษย์กัน เราหาบทนี่ มนุษย์ก็ต้องตามโลกเขา การสรรเสริญกัน ต้องมีฐานะ ต้องมีทุกอย่างพร้อม เราก็หามาๆ เราหาได้ขนาดไหน

คนเล่นนอกบท อย่างหลวงตา เห็นไหม เป็นหมื่นๆ ล้าน เป็นคนจนที่ยิ่งใหญ่นะ เป็นคนที่ว่าไม่มีทรัพย์สินเงินทอง แต่ความเชื่อถือของคนนี่เชื่อถือใจดวงที่บริสุทธิ์นั้น เห็นไหม สละให้ได้ทั้งชีวิตนะ สละให้ได้หมด ถึงว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว มนุษย์ห้ามกินเนื้อของมนุษย์ ถึงสละชีวิตกันไม่ได้ เพราะว่าไม่ให้สละชีวิต การสละชีวิตนั้นมันต้องสละกิเลส พระพุทธเจ้าให้สละกิเลส พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้สละชีวิต สละกิเลสออกไปแล้วชีวิตนี้จะดำรงแต่ความสุข

เห็นไหม ชีวิต ชีวะ คือใจนั้นมีจริง ใจนั้นเป็นของที่ประเสริฐ สิ่งที่ประเสริฐนั้นเป็นผู้ที่รับผล เห็นไหม อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป จิตดวงนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ จิตดวงนี้เป็นผู้รับผล จิตของเรา นาย ก. นาย ข. นี่แหละเป็นผู้ที่รับผล นิพพานก็จิต นาย ก. นาย ข. นี่แหละเป็นนิพพาน แล้วถ้าทุกข์ก็จิต นาย ก. นาย ข. นี่ทุกข์ เกิดเป็น นาย ก. ชาตินี้ ชาติหน้าที่ก็ไปเกิดอีก เป็นคนใหม่ก็จริงอยู่ แต่ความทุกข์ก็คืออันเก่านี้แหละ อันที่เราทุกข์ๆ อยู่นี่ เพียงแต่ว่าเป็นคนใหม่ขึ้นมา เป็น นาย ข. หรือ นาย ค. ไป แต่ก็จิตดวงนี้ ความสุขความทุกข์อันนี้

ความสุขความทุกข์ถึงว่าไม่มี ก. ไม่มี ข. ไม่มีสมมุติไง ความสุขความทุกข์ก็ทำให้น้ำตาไหลให้น้ำตาร่วง แต่เวลามีความสุขขึ้นมาก็มีความพอใจ ถึงว่าเกิดมาถึงเสมอกันด้วยธรรม มนุษย์เหมือนมนุษย์ มีหัวใจ มีสุขมีทุกข์เหมือนกัน สุขทุกข์นี้เท่ากัน เสมอกัน เป็นญาติธรรมเหมือนกันเลย แต่ชื่อ สมมุติเป็นสมมุติ

ฉะนั้น ถึงบอกว่าอกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา เข้าถึงใจดวงนั้นก็เข้าถึงเหมือนกัน เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเข้าถึงธรรม จิตดวงนั้นจะมีความสุขเหมือนกันหมด ถึงเสมอกันด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่องของใจ ใจนี้จะบริสุทธิ์เหมือนกันหมดเลย ตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอรหันต์ ใจนี้บริสุทธิ์เหมือนกัน ความเข้าไปเสมอกัน เพราะว่าเป็นนิพพานเหมือนกัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

แต่พระอรหันต์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ด้วย เป็นศาสดาด้วย เป็นครู เห็นไหม กับเป็นพระอรหันต์นะ เป็นสาวกะ ดูอย่างอัญญาโกณฑัญญะสิ เป็นพระอรหันต์แล้วเข้าป่าไปเลย เห็นไหม เอาหลานมาบวชได้องค์เดียว เป็นพระอรหันต์ แล้วตัวเองเข้าป่าไป อยู่ในป่านี่เป็นพระอรหันต์แต่ไม่ได้สอนคนอื่น แต่เข้าไปอยู่ในป่าในเขามีความสุขออกไปเหมือนกัน เสมอกันด้วยความอันนั้น อันที่บอกว่ามันอาภรณ์เข้าไปของใจ ปัญญาของใจ ภาวนามยปัญญาเข้าไปชำระใจ ใจดวงนั้นบริสุทธิ์ ถึงยืนยันกันได้ไง พระอรหันต์กับพระอรหันต์นี้ยืนยันกันได้ บริสุทธิ์เหมือนกันหมด

ถ้าเล่นนอกบทมันจะเข้าถึงตรงนี้ได้ ถ้าเล่นในบทมันก็เป็นโลกียะ ถ้าเล่นนอกบทมันก็เป็นโลกุตตระ ธรรมกับโลกไง โลกนี้คือเล่นในบท คือเราเป็นเรานี่แหละ แต่ถ้าเราเล่นนอกบท เราก็ต้องเล่นประสาธรรมไปด้วย มันถึงต้องฝืนโลก ๒ ชั้นไง โลกเขาติเตียนกัน ผู้ที่มาวัดนี่เป็นผู้ที่มีปัญหาทั้งหมด ผู้ที่มาวัดเป็นผู้ที่บกพร่อง

บกพร่องสิ เพราะกิเลสทำให้บกพร่อง รัฐบาลขนาดเป็นรัฐบาลยังบกพร่องอยู่ โลกนี้ไม่มีวันเต็ม ไม่มีหรอก ประสาโลกไม่มีวันเต็ม บทของโลกเขาคือบทที่บกพร่องทั้งหมด แต่เขาไม่ถือว่าเขาบกพร่อง แต่บทที่มันจะเล่นในธรรม คือว่าเข้ามาหาธรรม เขาว่าอันนี้บกพร่อง คนที่แสวงหา คนที่ฉลาด คนที่อ้าปากจะดื่มกินอาหาร คนนั้นหรือเป็นคนที่บกพร่อง คนนั้นต่างหากที่จะเป็นคนที่อิ่มเต็ม คนที่ไม่ยอมกินอะไรเลย คนที่อยู่กับโลกเขา คนที่พยายามอยู่อย่างนั้น นั่นล่ะเขาบกพร่อง แล้วเขาไม่รู้ว่าเขาบกพร่อง เขาโง่ ๒ ชั้น แล้วพยายามจะทำให้คนฉลาดโง่เหมือนเขา คนตาบอดไง พยายามจะบอกว่า คนตาดีทำอยู่นี่ไม่เหมือนเขา คนพรรคนั้นเป็นคนโง่ เขาเป็นคนฉลาด

เห็นไหม นี่เล่นนอกบท เล่นในบท เราต้องคิดมาในหัวใจเรา แล้วเราตั้งของเราเอง ถ้าเราตั้งของเราเอง ตั้งนะ ตั้งขึ้นมา ใจตั้งขึ้นมา แล้วเราจะพาไปได้ เราจะพาตัวเราเองนี่ไปได้ แล้วหัวใจมันก็จะเบิกบานในใจของเรานั่นแหละ เอวัง